วิธีเเก้นั้นง่ายมากครับ เราก็เเค่อ่านหนังสือภาษาอังกฤษที่เราชอบ อย่างตัวผู้สอนเองเป็นคนที่ชอบเรื่องธุรกิจเเละการลงทุนในหุ้นมาก ก็จะอ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เยอะมากๆ เช่น Like a Virgin: Secrets They Won't Teach You at Business School by Richard Branson เป็นหนังสือที่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหาเเรงบันดาลใจในการทำธุรกิจมาก
ข้อดีหลักๆของการอ่านหนังสือภาษาอังกฤษที่เราชอบคือ 1.เราจะไม่เบื่อ ถึงเเม้บางครั้งเราจะไม่เข้าใจเนื้อหาในหนังสือทั้งหมด เเต่เราจะสามารถเดาได้ ทำให้เรามีกำลังใจในการอ่านจนจบ 2.เราจะได้ข้อมูลที่เเม่นยำมาก เพราะหนังสือแปลส่วนใหญ่ ถึงเเม้ผู้เเปลจะมีทักษะทางภาษาที่ดี เเต่ขาดความเข้าใจในสิ่งที่ผู้เขียนต้องการสื่อ ทำให้การแปลคลาดเคลื่อนในหลายๆครั้ง 3.ยิ่งเราอ่านมากเท่าไหร่ เราจะสามารถอ่านได้เร็วขึ้นเรื่อยๆ เเละสมองเราจะค่อยๆซึมซับโครงสร้างภาษาอังกฤษไปเรื่อยๆ จนถึงวันที่เราอ่านมากพอ เราจะสามารถเขียนเเละพูดภาษาอังกฤษได้โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการเเปลงจากไทยเป็นอังกฤษ ไม่ต้องมานั่งเเปลทีละคำ
ข้อ 3 นั้นตัวผมเองได้ประสบโดยตรง ตอนที่ผมยังเด็กเเละเริ่มเรียนภาษาอังกฤษใหม่นั้นๆ ครูสอนภาษาอังกฤษผมได้พูดว่า "เธอเริ่มเรียนภาษาอังกฤษช้าไป เรียนยังไงก็ไม่มีทางเก่งภาษาอังกฤษได้หรอก" ทั้งที่ตอนนั้นผมเพิ่งจะอายุเเค่ 13-14
ผมก็ได้เเต่คิดในใจ นอกจากไม่ให้กำลังใจ เเล้วยังทำลายกำลังใจกันอีก ผมเลยเลิกเรียนกับครูคนนั้น เเละตัดสินใจที่จะลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง โดยบังคับให้ตัวเองอ่านหนังสือที่ชอบเดือนละอย่างน้อย 2 เล่มเป็นอย่างน้อย เวลาไม่รู้คำศัพท์อะไรก็พยามเปิดDictionary อังกฤษ-อังกฤษก่อน ถ้าไม่ได้จริงๆค่อยเปิด อังกฤษ-ไทย นอกจากนั้นผมจะมีสมุดเล่มเล็กๆที่จะคอยจดคำศัพท์ที่ไม่รู้เเละกลุ่มคำสวยๆเ พื่อจะเอาไปใช้สำหรับงานเขียนในอนาคต
หลังจากนั้นเวลาผ่านไป 6 เดือนกว่า จากคนที่อ่อนภาษาอังกฤษมากที่สุดของห้อง กลับกลายเป็นคนที่มักจะได้รับคำชมจากอาจารย์ภาษาอังกฤษหลายๆท่านว่า เขียนภาษาอังกฤษได้เหมือนเจ้าของภาษา จะไม่ให้เหมือนได้อย่างไรล่ะครับ ก็ผมเลียนเเบบเจ้าของภาษามานะครับอาจารย์
สุดท้ายอยากจะให้กำลังใจเเฟนเพจทุกท่านว่า ไม่มีใครเเก่เกินเรียนหรอกครับ เเค่เราตั้งใจมากพอ ผมทำได้ทุกท่านก็ทำได้ครับ! สู้ๆครับ
พรุ่งนี้จะมาอธิบายถึงปัญหาอื่นๆของการทำ IELTS Writing พร้อมวิธีเเก้